Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - banana009

Pages: [1]
6

ปัญหาที่ใครหลายคนหรือแทบทุกคนต้องเจอเมื่อไว้ผมยาวทีไร เส้นผมก็มักจะต้องหลุดร่วงเกลื่อนเต็มพื้นห้อง ต้องกวาดกันหลายรอบ หลายครั้งจนบางทีก็แอบรำคาญไม่น้อย แท้จริงแล้วปัญหาผมที่ยาวและร่วงมีสาเหตุจากอะไร แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไรนี่คงเป็นสิ่งที่ต้องการคำตอบมากที่สุด และเราก็มีมาบอกต่อด้วยในบทความนี้ ว่าแล้วไปศึกษากันดีกว่า




    • ผมเปียกชื้นอย่าเพิ่งนอนเด็ดขาด
      นอกจากมัดผม หรือหวีผม ก็ยังมีห้ามนอนทันทีตอนที่ผมเปียกด้วย เพราะช่วงเวลาที่ผมยาวกำลังเปียกชื้นเป็นช่วงที่เส้นผมค่อนข้างอ่อนแอและบอบบางมาก อาจเกิดเชื้อราก่อตัวจับกันที่หนังศีรษะ เกิดกลิ่น คันเป็นรังแค รากผมไม่แข็งแรงและหลุดร่วง
    • สระผมให้ถูกวิธีเป็นเรื่องสำคัญ
      เริ่มต้นวิธีดูแลผมยาวก็คือ การเลือกผลิตภัณฑ์ทั้งแชมพูและครีมนวดที่ไม่มีสารเจือปนดีที่สุด อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์สกัดจากสมุนไพร จากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีเยอะ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นสระผมเพราะจะยิ่งทำให้ผมเกิดปัญหาแตกปลาย แห้ง และร่วงง่ายขึ้น อีกทั้งพยายามอย่าสระบ่อยด้วยนะ
    • อย่าปล่อยให้หนังศีรษะมันอยู่บ่อย ๆ
      เพราะการที่เราปล่อยให้หนังศีรษะมันอยู่บ่อย ๆ ย่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังศีรษะสกปรกง่าย พาให้เส้นผมที่ยาวของเราบางและหลุดร่วงมากกว่าเดิม แนะนำเลือกแชมพูที่ช่วยขจัดความมันได้ดี สร้างรากผมให้แข็งแรงไว้สู้กับน้ำมันบนหนังศีรษะ
    • พยายามไม่ทำอะไรรุนแรงกับเส้นผม
      แนะนำให้เช็ดผมให้แห้งหมาด ๆ แล้วเป่าลมเย็นแทนการใช้ไดร์หรือเครื่องหนีบที่มีความร้อนสูง หรือหวีผมตอนเปียกเพื่อลดปัญหาผมพันกันจนขาดหลุดร่วง


    แนะนำให้ใครที่ผมยาวพยายามอย่ามัดผมไว้ตลอดวัน ให้ปล่อยผมออกบ้าง เพราะยางรัดผมมีส่วนในการทำให้ผมของเราหลุดร่วงได้จากการถูกกระชาก หรือแกะออกแล้วผมไปพันยางรัด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดของยางรัดด้วย แนะนำให้ใช้ยางเส้นเล็กและเรียว หรือแบบเป็นขด ๆ เหมือนสายโทรศัพท์บ้าน เพราะจะไม่กินเส้นผม ไม่ทำให้ผมขาด แต่ถ้าเป็นยางรัดถุงแกงอันนี้ไม่ได้เชียว
    ปัญหาผมยาวแล้วขาดหลุดร่วง รวมถึงปัญหาผมแห้งเสียที่มักจะเกิดขึ้นควบคู่กันไปนี้นั้น เราสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม ที่สำคัญการเลือกผลิตภัณฑ์ก็ควรต้องใส่ใจ เมื่อรากผมแข็งแรงเส้นผมก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ช่วยให้ผมมีสุขภาพดี ไม่ต้องคอยกวาดพื้นกันแล้ว

    เว็บไซต์ https://www.loreal-paris.co.th/dream-lengths-good-for-long-hair

    12

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลิปสติก เป็นเครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมถูกซื้อใช้งานมากที่สุด เรียกได้ว่า 1 คนมีหลายสี หลายแท่งมาก แต่ถึงกระนั้นการจะเลือกสีลิปให้เข้ากับสีผิวบางครั้งก็เป็นอะไรที่ตัดสินใจยากไม่น้อย ที่สำคัญหากดูแลเก็บรักษาไม่ดีพาคุณภาพเสื่อมเสียเงินซื้อใช้ใหม่ไปอีก ดังนั้น วันนี้เราจึงจะขอแนะนำสีที่เหมาะสมกับสีผิว พร้อมการดูแลเก็บรักษาให้ยืดอายุการใช้งาน


    หากมองไปที่เคาน์เตอร์ลิปจะพบสีสันให้เลือกมากมาย แทบจะตัดสินใจไม่ได้เลยว่าจะซื้อสีอะไรดี แต่ปัจจัยสำคัญเราควรเลือกสีให้เข้ากับสีผิวเป็นอันดับแรก ว่าแต่สีผิวแบบไหนเหมาะกับสีอะไร?


      การรู้จักวิธีดูแลเก็บรักษาลิปสติกอย่างเหมาะสมช่วยให้อายุการใช้งานมีมากขึ้น ไม่ต้องเสียเงินซื้อสีใหม่ ได้สีคู่ใจใช้ไปนาน ๆ โดยการดูแล มีดังนี้
      • เก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเหมาะสม
        เรื่องแรกเลยก็คืออุณหภูมิที่วาง หรือการเก็บลิปควรมีความเหมาะสม ไม่ควรเย็นมากเพราะอาจทำให้เนื้อแข็งทาไม่ติด หรือร้อนมากจนเกินไปเพราะอาจทำให้เนื้อหลอมละลาย เหลว แนะนำอุณหภูมิห้องไม่เกิน 25 องศาฯ หรือเลี่ยงที่แสงแดดเข้าถึง
      • ใช้เสร็จแล้วต้องปิดเก็บให้สนิท
        หลังจากที่เราเปิดลิปมาใช้งานทาริมฝีปากเรียบร้อยแล้ว ต้องปิดเก็บให้สนิทไม่ว่าจะเป็นลิปสติกเนื้อครีม หรือเนื้อแมทก็ตาม เพื่อไม่ให้เชื้อโรค หรือเชื้อแบคทีเรียเข้าไปสะสม หรือเป็นไปได้กรณีที่เป็นเนื้อแท่งให้ใช้พู่กันแต้มเนื้อสีแล้วจึงมาทาริมฝีปากจะดีกว่า
      • อย่าลืมดูเรื่องวัน/เดือน/ปีที่ผลิตและหมดอายุ
        เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะโดยทั่วไปแล้วหากเปิดใช้แล้วจะสามารถอยู่ได้ 2 ปีเท่านั้น (ถ้ายังไม่เปิดใช้งานอยู่ได้ 3 ปี) จึงควรศึกษาให้ละเอียด ถ้าผลิตมานานเกินไปแต่ยังไม่หมดอายุไม่แนะนำให้ซื้อเพราะคุณภาพเม็ดสีอาจเพี้ยน หรือมีอันตรายต่อริมฝีปากได้
      • ทำความสะอาดปากก่อนเสมอ
        เราไม่อาจรู้ได้ว่าที่ริมฝีปากเราก่อนทาลิปนั้นมีเชื้อแบคทีเรียตัวไหนสะสมอยู่บ้าง จึงควรต้องเช็ดล้างทำความสะอาดก่อนทาเสมอ อาจจะใช้คลีนซิ่งโดยเฉพาะก็จะดีมาก แล้วถ้าใครใช้พู่กันก็อย่าลืมทำความสะอาดด้วยเช่นกัน


      แน่นอนว่านอกจากการเลือกลิปสติกที่มีมาตรฐานความปลอดภัย การเลือกให้เกิดประโยชน์เกิดความคุ้มค่าที่สุดยังมีอีก แม้จะรู้ว่าสีผิวแบบนี้ควรใช้สีอะไรแล้วแต่การทดลองก่อนซื้อจริงก็สำคัญ แนะนำให้หยิบตัวเทสเตอร์มาแล้วใช้คอตตอนบัด หรืออุปกรณ์ช่วยมาทาริมฝีปาก อย่าเอาเนื้อมาสัมผัสโดยตรงเด็ดขาด เพราะไม่รู้ว่ามีเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียอะไรบ้าง แต่ถ้าไม่อยากทาปาก แนะนำให้ทาที่ปลายนิ้วเพราะมีสีคล้ายริมฝีปากที่สุด อย่าทาที่หลังมือหรือข้อมือเลย

      หวังว่าความรู้เกี่ยวกับลิปสติก ทั้งการเลือกสีให้เหมาะสมกับสีผิว การเก็บรักษายืดอายุการใช้งาน ไปจนถึงการเลือกซื้อให้ได้ประโยชน์เกิดความคุ้มค่าจะช่วยให้ใครหลายคนเกิดความเข้าใจมากขึ้น สามารถนำไปปฏิบัติตามอย่างถูกวิธี ช่วยให้มีลิปสีสวยใช้งานตามความต้องการของทุก ๆ คน ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนบ่อย ๆ เหมือนที่ผ่านมาแน่นอน

      บทความจากเว็บไซต์ https://www.loreal-paris.co.th/apply-lipstick

      13


      ใครที่มีความสนใจอยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยแต่เผอิญอยากลองศึกษาก่อนว่ามีเนื้อสัมผัสแบบไหนบ้าง เพราะอันที่จริงเนื้อสัมผัสมีความสำคัญตรงที่ใช้เหมาะสมสภาพผิวย่อมเกิดประสิทธิภาพขั้นสุด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและเลือกซื้อไม่ลังเล บทความนี้จึงจะพาไปทำความรู้จักเนื้อสัมผัสที่มีจำหน่ายทั่วไป และทริคเลือกซื้อให้ปลอดภัยสบายใจหายห่วง




        • เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว
          คนผิวแห้งแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ กรดไฮยาลูรอน เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดี คนที่มีผิวมันแนะนำให้เลือกส่วนผสมที่ปราศจาก Oil ลดความมันที่มีอยู่แล้ว ผิวผสมแนะนำให้เลือกที่มีความชุ่มชื้นด้วยแต่ต้องไม่เกิดความมันให้ใบหน้า
        • ดูความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ
          แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจากทาง อย. เสมอ และสามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันได้สะดวกสบาย สร้างความมั่นใจน่าเชื่อถือให้เรา สถานที่ตั้งตรวจสอบได้ติดต่อได้
        • ดูส่วนผสมที่ควรมีและเลี่ยง
          อ่านรายละเอียดของผลิตภัณฑ์เสมอว่ามีอะไรบ้าง ถ้าไม่เคยได้ยินหรือไม่รู้จักแนะนำให้ค้นหาข้อมูล และควรเลี่ยงที่มีส่วนเสี่ยงผลข้างเคียง ได้แก่ พาราเบน สีสังเคราะห์ น้ำหอม แอลกอฮอล์ ฯลฯ เพราะใช้แล้วเสี่ยงแพ้ระคายเคืองเป็นผดผื่น คัน บวมแดง ปวดแสบปวดร้อน
        • ดูวัน/เดือน/ปีที่ผลิต และหมดอายุ
          สิ่งสำคัญที่เรื่องของวัน/เดือน/ปีที่ผลิต และหมดอายุ โดยต้องหาที่เป็นอักษรย่อ MFG ที่หมายถึงวันผลิต และ EXP ที่หมายถึงวันหมดอายุ และหากวันที่ผลิตเลยมาไกลแล้วจากวันที่เราจะเลือกซื้อแนะนำให้เลี่ยงไปก่อน เพราะเสี่ยงคุณภาพต่ำ พาหน้ามีริ้วรอยไม่เห็นผล


        ปัจจัยเสี่ยงจริง ๆ แล้วมีทั้งภายในและภายนอกมากระตุ้น ซึ่งภายในหาโอกาสเลี่ยงได้ยาก เช่น พันธุกรรม หรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนปัจจัยภายนอกที่มากระตุ้น ได้แก่ ความเครียดที่ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทำงานผิดปกติจนเกิดปัญหา พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์จัด โดนแสงแดดที่มีรังสี UVA และ UVB เยอะและนานเซลล์ผิว คอลลาเจน อิลาสตินถูกทำลาย เป็นต้น
        และทั้งหมดนี้ก็เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยตั้งแต่เนื้อสัมผัสที่มีให้เลือกหลากหลาย ทริคการเลือกใช้อย่างปลอดภัย รวมถึงรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาพาให้เราเลี่ยงพฤติกรรมต่าง ๆ ลงชะลอร่องลึกริ้วเส้นชัดเจนที่เกิดขึ้นมาไม่มากก็น้อย

        เลือกซื้อสินค้าอื่น ๆ ได้ที่ เว็บไซต์ https://www.loreal-paris.co.th/how-to-reduce-wrinkles

        15


        สำหรับใครกำลังจะไปทำหัตถการเล็กอย่าง ฟิลเลอร์นอกจากยี่ห้อ รุ่น การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดที่ต้องศึกษาให้มากแล้ว อาการแพ้ รวมถึงการเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก็ควรต้องศึกษาด้วยเช่นกัน เพื่อให้เกิดการเข้าใจ สามารถตั้งรับอาการที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังนั้น สิ่งที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ก็คืออาการของคนที่แพ้ผลิตภัณฑ์และหากเราเลือกแพทย์ที่ขาดความเชี่ยวชาญฉีดไปแล้วจะเกิดผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง?


        หลายคนอยากรู้ว่าอาการของคนแพ้ ฟิลเลอร์คืออะไรจริง ๆ แล้วก็คือการแพ้สารบางชนิดที่มีผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ แต่ถึงกระนั้นก็มีโอกาสเสี่ยงน้อยกว่า 1% ซึ่งมีอาการอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่
        Delay Hypersensitivity หรืออาการแพ้ผลิตภัณฑ์ : ซึ่งชนิดนี้จะปรากฏให้เรามีอาการอักเสบ  เป็นก้อนบวม นูนแดง มักจะเกิดเมื่อเราฉีดไปแล้วเฉลี่ย 6 เดือน สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการกินยาฆ่าเชื้อ แต่หากรุนแรงมากควรรีบพบแพทย์
        Angioedema หรือลมพิษแบบรุนแรง : จะมีอาการที่รุนแรงกว่ารูปแบบแรก โดยจะแพ้ที่แสดงให้เห็นถึงผื่นแดง คัน เป็นลมพิษขึ้นมา


        ส่วนใหญ่เรามักจะเข้าใจว่ามาจากตัวผลิตภัณฑ์โดยตรง ทั้งที่จริงแล้วความชำนาญของแพทย์ที่ทำการฉีดก็เป็นอีกปัจจัยเช่นกัน ซึ่งหากเราเลือกแพทย์ที่ขาดความชำนาญจะเกิดผลข้างเคียง ได้แก่
        • ผลิตภัณฑ์ไปอุดตันในเส้นเลือด
          ผลข้างเคียงแรกเลยก็คือผลิตภัณฑ์เข้าไปอุดตันในเส้นเลือด ทำให้ตำแหน่งที่ถูกฉีดเกิดเป็นเนื้อตาย ถือว่าอันตรายมากเพราะสามารถถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว
        • ผลิตภัณฑ์ไหล เยิ้ม
          เมื่อแพทย์ไม่มีความชำนาญก็จับตำแหน่งผิดพลาด กลายเป็นว่าผลิตภัณฑ์เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่ของเดิม ทำให้ไหล เยิ้ม ย้อย ใบหน้าผิดรูปไปอีก ส่วนใหญ่ตำแหน่งหน้าผาก และริมฝีปากจะเคลื่อนที่ได้บ่อย
        • เสี่ยงตาบอดได้
          Fillerที่ฉีดไปนั้นอาจจะมีโอกาสไปอุดตันที่หลอดเลือดแดงได้ แน่นอนว่าเป็นเส้นเลือดที่สัมพันธ์กับจอประสาทตา เมื่อไปอุดตันเลือดไม่สามารถหล่อเลี้ยงดวงตาได้ จงทำให้มีโอกาสเสี่ยงตาบอด
        • รอยช้ำหรือรอยแดง
          สุดท้ายเป็นผลข้างเคียงที่เกิดได้โดยทั่วไปอยู่แล้ว ได้แก่ รอยช้ำ รอยแดง แต่จะหายเองได้ภายใน 14 วัน หากใครที่พบว่ายังคงมีอาการรุนแรงอยู่ แนะนำให้พบแพทย์อย่างเร่งด่วน
          ใน 1% ของคนปรกติจะมีคนที่มีโอกาสแพ้ฟิลเลอร์
        สำหรับคนที่มีโอกาสเสี่ยงเมื่อเลือกฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียง คือ กลุ่มคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด เส้นเอ็น หรือข้อต่อ, กลุ่มคนที่ผิวหนังมักมีการอักเสบหรือติดเชื้ออันเนื่องมาจากสิว ถุงน้ำ ผื่น ลมพิษ หรืออื่น ๆ กลุ่มที่มีปัญหาเลือดออกง่ายและจำนวนมาก, กลุ่มคนที่มีอาการแพ้ยาชาอย่างรุนแรงหรือฉับพลัน และกลุ่มคนที่มีอาการแพ้สารผสมในผลิตภัณฑ์ เช่น คอลลาเจน แบคทีเรีย สารลิโดเคน หรือแม้แต่สาร Hyaluronic Acid

        ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการเลือกแพทย์เพื่อทำหัตถการฟิลเลอร์นับเป็นความสำคัญอีกปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ ซึ่งมีผลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีความชำนาญในวิชาชีพ อาจจะดูจากใบประกอบวิชาชีพหรือใบอนุญาตต่าง ๆ รีวิวจากลูกค้าคนก่อน ๆ หวังว่าจะหน้าสวยถูกใจ เข้าที่เร็ว อยู่ได้นานตามที่ต้องการ


        อ่านต่อได้ที่ : https://www.galdermaaestheticsthailand.com/page/dermal-filler

        Pages: [1]